
“ความหวังดีที่อีกฝ่ายไม่ต้องการก็เท่ากับส่วนเกิน”
“หวังดีแล้วไม่ได้ดี” “หวังดีแต่เขาไม่เห็นค่า” “อุตส่าห์หวังดีทำไมถึงโกรธ” “หวังดีก็หาว่าหนูแส่ไม่เข้าเรื่อง”
คำพูดน้อยใจหรือเสียใจประมาณนี้เป็นสิ่งที่ผมพบได้บ่อยถึงบ่อยมาก ซึ่งสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้ที่หวังดีไม่มากก็น้อย แต่เมื่อฟังรายละเอียดของเหตุการณ์แล้ว
พบว่า ความหวังดีที่เป็นส่วนเกินที่พบได้บ่อยนี้สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ
1. หวังดีแต่เป็นคนที่ไม่ใช่
กรณีนี้พูดง่ายๆ เลยคือ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด แม้ผลจะดียังไง อีกฝ่ายก็ไม่ชอบอยู่ดี บางครั้งอาจเกิดจากระดับความสัมพันธ์ที่ไม่ได้สนิทสนมมากเพียงพอ
แนวทางแก้ไข กรณีนี้ก่อนแสดงความหวังดีควรพิจารณาก่อนว่าความสัมพันธ์ของเรากับอีกฝ่ายเป็นอย่างไร เราเป็นคนที่อีกฝ่ายอย ากได้รับความหวังดีหรือไม่
หากในกรณีที่ทำไปแล้วอีกฝ่ายไม่สนใจในความหวังดีก็คงต้องทำใจและเลิกทำไป หรือหากยังอย ากพย าย ามทำให้ต่อไป (ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีการตามจีบ)
ก็ต้องทำใจยอมรับไว้ก่อนเลยว่าอีกฝ่ายอาจไม่โอเคด้วย
2. หวังดีแต่ผลร้ า ย
ต้องบอกก่อนว่ากรณีนี้ไม่ได้พูดถึงการ “หวังดีประสงค์ร้ า ย” (ซึ่งในกรณีนี้จะหมายถึงการประสงค์ร้ า ยตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่มาทำเหมือนดีด้วย) แต่เป็นการทำ
ด้วยความหวังดีจริงๆ แต่ผลกลับออกมาไม่ดี ตัวอย่างของความหวังดีแบบนี้ เช่น สามีต้องเอาเอกส า รสำคัญไปทำงานพรุ่งนี้ ด้วยความกลัวลืมเอาไปมาก จึงเอา
กระเป๋าใส่เอกส า รไปแขวนไว้ตรงหน้าประตู (จะได้ไม่ลืม) ภรรย าเดินผ่านมาเห็น จึง “หวังดี” เอาไปเก็บในห้องให้เพื่อความเรียบร้อย ผลคือสามีลืมเอาไป แน่นอนว่า
ความหวังดีที่ผลร้ า ยแบบนี้มักทำให้อีกฝ่ายโกรธหรือไม่พอใจ หากมาวิเคราะห์ความหวังดีประเภทนี้จะพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมักประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ
คิดไม่รอบคอบ มักคิดเองเออเองว่าสิ่งที่ทำมันดี โดยไม่เข้าใจเหตุการณ์อย่างถ่องแท้ เช่น ตัวอย่างกรณีแรกจะเห็นว่า หากคิดให้ดีๆ ควรจะสงสัยและคิดว่าทำไม
สามีต้องเอากระเป๋าไปแขวนไว้ตรงหน้าประตูด้วย น่าจะมีเหตุผลบางอย่าง แต่พอไม่ทันคิด จึงกลายเป็นคิดเอาเองว่าการเอาไปเก็บในห้องให้เรียบร้อยเป็นสิ่งที่ดี
จึงเกิดปัญหาขึ้น ขาดการสื่อส า รที่ดี ในทั้งสองกรณีที่ยกตัวอย่างจะเห็นว่าปัญหาจะไม่เกิดเลยหากเราถามอีกฝ่ายหนึ่งก่อนว่าที่ทำแบบนั้นมีเหตุผลอะไรรึเปล่า
หรือก่อนจะเอาไปเก็บถามก่อนว่าอีกฝ่ายต้องการหรือไม่ ก็จะหลีกเลี่ยงผลเสียที่ตามมาได้แล้ว
แนวทางแก้ไข จากที่วิเคราะห์ไปจะเห็นว่าความหวังดีแต่ผลร้ า ยนี้สามารถแก้ได้ 2 แบบ คือ คิดให้รอบคอบก่อน หากไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำมันจะดีจริงก็ชะลอไว้
อย่าพึ่งทำ และ สื่อส า รกันให้ดี ถามอีกฝ่ายหนึ่งก่อนว่าต้องการความหวังดีของเราหรือ เท่านี้ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว
3. หวังดีแต่ผิดเวลา
กรณีนี้คือตัวสิ่งที่ทำไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือดันผิดเวลา ผิดกาลเทศะ จึงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี เช่น รู้มาว่าเพื่อนพึ่งหย่ากับสามี พอเจอหน้าเพื่อนเลยรีบถาม
ด้วยความเป็นห่วงว่า “แกเป็นไงมั่ง เห็นว่าพึ่งหย่าเหรอ” ต่อหน้าเพื่อนอีกเป็นสิบคน ซึ่งความจริงเพื่อนก็อย ากระบายและปรึกษาอยู่ แต่ไม่ใช่ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้
แนวทางแก้ไข ก่อนแสดงความหวังดี ควรมองรอบๆ ก่อนสักนิดว่าจังหวะและเวลามันเหมาะสมจริงหรือไม่ก่อนที่จะแสดงความหวังดีออกไป
4. หวังดีแต่น่ารำค า ญ
กรณีนี้อาจไม่ได้มีผลร้ า ยอะไรตามมา แต่ความไม่พอใจมักเกิดจากความ “เยอะ” หรือ “มาก” เกินไปของความหวังดี ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อย คือการถามหรือบ่น
อะไรซ้ำๆ เช่น แม่เป็นห่วงลูกสาวมาก เลย “หวังดี” โทรถามทุกเย็นกว่าเลิกเรียนแล้วกลับบ้ านรึยัง ซึ่งทำให้ลูกสาวหงุดหงิดและรำค า ญ หรือฝ่ายหญิงพูดเตือนแฟน
ทุกครั้งที่เล่นเกมส์เพราะ “หวังดี” กลัวเสียสายตา จนอีกฝ่ายเบื่อ
แนวทางแก้ไข กรณีนี้จะเห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ แต่สิ่งที่แต่สร้างปัญหาคือความ “มากเกินไป” ของความหวังดี ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากความกังวลของ
คนที่หวังดีนี่แหละ ดังนั้นการแก้คือต้องรู้ตัวแล้วลดความเยอะหรือบ่อยลงไป และหาทางจัดการกับความกังวลของตัวเองให้ได้
ดังนั้นแล้วหากให้สรุปง่ายๆ ก็คือ ต้องตระหนักไว้เสมอว่าความหวังดีไม่ได้แปลว่ามันจะดีทุกครั้ง ความหวังดีนั้นต้อง ถูกเรื่อง ถูกเวลา ถูกคน และไม่มากเกินไป
จึงจะเป็นความหวังดีที่ดีจริงๆ
ขอบคุณที่มา : h e a l t h t o d a y t h a i l a n d